ทำไม หุ้นถึงตกทั่วโลก
วันนี้หลายคนคงมีหลายคำถาม โดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า ทำไมช่วงนี้หุ้นตก ซึ่งก็ด้วยความโชคดีที่ CEO ของ บลจ. บัวหลวง ได้ออกมาตอบคำถามแบบอ้อมๆ ด้วยคำว่า “เดา” นะครับ
“เดา” สาเหตุที่หุ้นตกทั่วโลก
——————————
วรวรรณ ธาราภูมิ 24 สิงหาคม 2558
ใช้คำว่าเดา ได้แต่คาดเดาจากประสบการณ์ เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าผู้ลงทุนแต่ละคนเขารู้สึกอย่างไร และการเดาแบบนี้ เดาความรู้สึกของผู้เล่นทั่วโลก ก็ไม่มีใครหาหลักฐานมาระบุได้ว่ามันผิดหรือถูก
จากก่อนสิ้นสัปดาห์ก่อนที่ตลาดหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะ US และ Europe ออกอาการ ดูทรงแล้วมันเซต่อเนื่องพอๆ กับ Emerging Market ฯลฯ ทำให้เขียนบทความเตือนผู้ลงทุนเมื่อคืน (ไปหาอ่านเลย เรื่อง ตลาดหุ้นวันพรุ่งนี้ จะเป็นอย่างไร ลงวันที่ 23 สิงหาคม 2558 … ที่มีรูปลุงบัฟเฟต 4-5 รูปนั่นแหละ) โดยมีเป้าหมายเพื่อเตือนผู้ลงทุนระยะสั้นแบบเก็งกำไร กับผู้ลงทุนระยะยาว ให้เตรียมจิตใจไว้รับมือ ซึ่งไม่ได้บอกไปว่าหุ้นจะขึ้นหรือจะลงในวันนี้ แต่พยายามทำให้เราเข้าใจตนเองว่าเป็นผู้ลงทุนแบบไหนกันแน่ เพราะวิธีรับมือมันต่างกัน
.
ทีนี้มาอ่านการเดาของพี่บ้างว่าหุ้นตกเพราะอะไร
—————————————————
พี่เดาว่ามาจาก 3 สาเหตุ
.
1. มีปัจจัยพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงจริง นั่นคือ จีน
————————————————–
พี่เคยเอาบทความที่เขียนไว้มาลงในนี้แล้ว เรื่อง “ที่เศรษฐกิจยังไม่ไปไหน เป็นเพราะอะไรกันแน่” ลงเมื่อ 13 สิงหาคม 2558 ความส่วนหนึ่งระบุว่า ….
“การตกต่ำของราคาสินค้าโภคภัณฑ์และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพกว้าง เกิดจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ โดยเฉพาะความต้องการของจีนที่ลดลง เพราะเมื่อปี 2007 การบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรมของจีนเทียบเป็นสัดส่วนกับการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ภาคอุตสาหกรรมของทั้งโลกเป็นเพียง 2% พอถึงปี 1990 เพิ่มขึ้นเป็น 5% และเป็น 12% ในปี 2000 แต่ในช่วงปี 2011-2012 สัดส่วนตัวนี้ของจีนพุ่งสูงขึ้นไปถึง 47% !!
สรุปก็คือจีนเป็นผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ภาคอุตสาหกรรมในสัดส่วนเกือบครึ่งของทั้งโลก
จึงไม่น่าจะผิด ถ้าจะบอกว่า …. “จีนนั่นแหละที่เป็นหัวรถจักรที่ใหญ่ที่สุด มีพลังมากที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก เพราะการที่ GDP โลกจะโตได้นั้น มันมาจากจีนถึง 30% ในขณะที่สหรัฐฯ มีส่วนเพียง 10%”
ดังนั้น การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจจีนจึงมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อความต้องการบริโภคสินค้าโภคภัณฑ์ภาคอุตสาหกรรม และส่งผลกระทบอย่างหนักหนาสาหัสต่อผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตในละตินอเมริกา เอเชียกลาง ตะวันออกกลาง ออสเตรเลเชีย อาฟริกา หรือรัสเซีย รวมถึงส่งผลกระทบไปยังเศรษฐกิจโลกโดยรวมด้วย
เมื่อผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีนลดความต้องลง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จึงตกต่ำเป็นธรรมดา และน่าจะเป็นเช่นนี้ไปสักระยะหนึ่งเพราะว่าเศรษฐกิจจีนจะไม่กลับไปเติบโตในอัตราสูงถึง 10% เหมือนที่เคยเป็นได้ในเร็ววันเพราะข้อมูลทางสถิติอย่าง auto sales, freight loadings ยอดการใช้ไฟฟ้า ส่งออก นำเข้า ของจีน ลดลงไปในช่วงปีหลังๆ นี้ ทุกปี
ดังนั้น การที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง จึงทำให้เศรษฐกิจโลกรวมถึงไทยชะลอลงไปด้วย“
นี่คือสิ่งที่เคยเขียนไว้เมื่อ 13 สิงหาคม 2558 แต่ป่านนี้คนอ่านคงเลิกจำ หรือไม่ได้อ่านเลยก็ไม่รู้
.
2. มีเหตุการณ์ประหลาดๆ เกิดขึ้นทั่วโลกหลายแห่ง
——————————————————
พี่มองว่าเหตุการณ์เหล่านี้มีมากไป มีถี่ไป จนเกินกว่าจะคิดว่าเป็นเรื่อง Random ซึ่งนำมาซึ่งความสุ่มเสี่ยงในเรื่องการปะทะกันในสงครามการเงิน สงครามไซเบอร์ แม้กระทั่งสงครามจริง
เพราะนอกเหนือไปจากการซ้อมรบในทะเลญี่ปุ่นของจีนร่วมกับรัสเซีย ก็มีเรื่องที่สหรัฐฯ หนุนญี่ปุ่นให้ออกตัวแรงเรื่องการสู้รบเองนอกถิ่นฐานได้ เหตุการณ์ตึงเครียดจากระเบิดที่จีน ที่ญี่ปุ่น
และที่เกาหลีเหนือ อาคิมน้อย โป้งอาเจ้ของเกาหลีใต้ ที่ส่งเสียงโทระโข่งด่าเกาหลีใต้ใกล้พรมแดน (กลยุทธ์เหมือนใช้ทหารเลวร้องด่าหน้าค่ายเพื่อยั่วยุให้รบกัน) จนอาคิมน้อยสั่งเตรียมพร้อมทำสงครามแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเกาหลีจะสงบลงได้ไหมและจะเย็นลงได้นานเท่าใด และไม่เข้าใจว่า อาเจ้แห่งเกาหลีใต้จะทำไปหาอะไร เพราะมีแต่ผลลบ มีใครหนุนหลังไหมถึงได้ออกหน้ายั่วยุขนาดนั้น
นอกจากนี้ บางประเทศในยุโรปก็เริ่มประท้วงรัฐบาลที่ไปร่วมขบวนการไม่เอารัสเซีย ทำให้พวกเขาขาดรายได้จากการส่งสินค้าเกษตรไปขายให้เครมลิน
ยังมีการละเมิดน่านฟ้าของพวกนาโต้และฝ่ายตรงข้าม การเข่นฆ่ากันในตะวันออกกลาง
เรียกว่าสาระพัด และยังพิมพ์ไม่หมด และเฉพาะส่วนตัวคื่อการเห็นอุปทูตประเทศอันธพาล ออกมาลอยหน้าลอยตา กล่าววาจาสามหาวสี่หอนว่าให้เรารีบเลือกตั้ง หลังเหตุการณ์วินาศกรรมแยกราชประสงค์
คือเห็นหน้าทีไร ได้ยิน ได้อ่านการถ่มถุยของเขาเมือใด คนเลือดเย็นอย่างพี่ยังจะความดันขึ้นไป Ceiling นับว่าเป็นบุรุษทุรลักษณ์โดยแท้
เหตุการณ์ตัวอย่างเหล่านี้แหละ ที่อาจทำให้ผู้คนอยากจะพักการลงทุน
.
3. ธรรมชาติของมนุษย์
————————-
พี่เดาอีกเหตุหนึ่งที่หุ้นตกไปทั่วโลก โดยเป็นสถานการณ์ต่อเนื่องจาก 2 ข้อแรก และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ นั่นก็คือ เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นแรงๆ เกิดความกลัว บาดเจ็บ อกหัก เสียใจ ร้องไห้หนักมาก …. เรามักจะกลับบ้าน ไปเลียแผล ไปหาคำปลอบประโลมใจจากแม่
เงินลงทุนก็เหมือนกัน ส่วนหนึ่งที่เป็นเงินระยะสั้นของต่างชาติ ต่างพากันกลับบ้านเกิดไปเรื่อยๆ แต่บางทีกลับไปแล้วเจอปัญหาหนักกว่าเดิมก็มี กล่ายเป็นกลับบ้านเก่า 5555+ ไม่ว่าจะตลาดบอนด์หรือตลาดหุ้น
นั่นคือ 3 เดาของพี่
.
แล้วจะทำไงดี
————–
นี่เป็นคำถามที่ทำให้พี่ท้อใจที่สุด เพราะได้คิด ได้เขียน ได้แนะนำ ได้ตอบคำถาม และได้สอนเรื่องนี้ (เฉพาะคนที่นับพี่เป็นครู) มาหลายปีแล้ว แต่ยังมีคำถามแบบนี้อยู่ แสดงว่าที่ลำบากลำบนเขียนลง FB นั้นมันเสียแรงเปล่า ใช่หรือไม่
การจะเขียนอะไรสักบทความหนึ่ง มันใช้เวลาไม่น้อยเลยรู้ไหม คนหมื่นคนกด Like ต่อๆ กัน ยังใช้เวลาไม่ถึงครึ่งที่พี่คิดและพิมพ์ลงไป
แต่ เอาละ ขอตอบอีกครั้งว่า ….
.
ผู้เก็งกำไร
———–
ผู้เก็งกำไรนั้นควรจะถอยเมื่อความเสี่ยงมันเพิ่มขึ้นมากจนตนเองรับไม่ได้ แล้วไม่ต้องไปถามใครว่าควรถอยหรือซื้อเพิ่ม เลิกถามได้แล้วค่ะ เพราะคนอื่นเขาไม่รู้หรอกว่าแต่ละคนนั้นเขารับภาวะขาดทุนได้แค่ไหน เล่นหุ้นอย่างไร
เลิกส่งพอร์ตหุ้นมาให้ดูได้แล้วด้วย เพราะที่แต่ละคนส่งมาแต่ละตัวนั้น พี่ไม่รู้จักเลย ลมแทบใส่ ขอตายแป๊บ
ถึงรู้จักก็ไม่ให้คำปรึกษาใคร เพราะมันผิดกฏ ก.ล.ต.
ถึงไม่ผิดกฏ พี่ก็มีอะไรที่ต้องทำอีกมากเพื่อส่วนรวม ไม่สามารถแก้ปัญหาให้เป็นรายบุคคลได้ พี่มุ่งมองไปที่ทำให้ส่วนรวมเข้าใจหลักการที่ถูกต้องค่ะ อย่ารบกวนเวลาส่วนรวมเลย
เอาลั บ่นแล้วก็มาต่อเรื่องคนเก็งกำไรระยะสั้นกันอีกหน่อย
พี่ว่าการมีเงินสดไว้แม้จะน้อยลงหรือขาดทุนบ้างยังดีกว่าติดหุ้นจั๋งหนับโดยเฉพาะพวกใช้มาร์จิ้น โอกาสในอนาคตยังมีให้เสมอ ไม่ต้องไปอยู่ในตลาดทุกวันเหมือนคนติดบ่อนหรอก เพราะพวกมองขาลงเขาจะช็อตหุ้น (กองทุนไม่เกี่ยวนะ เรื่องแบบนี้) ทำให้มีความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น
แต่ไม่ใช่ว่าพอขายไปแล้วหุ้นขึ้นก็มาด่าฉันนะ แค่บอกให้คิดไตร่ตรองเองเท่านั้น
.
ผู้ลงทุนระยะยาว
—————–
ส่วนผู้ลงทุนระยะยาวนั้น ก็ได้ตอกย้ำด้วยภาพคำพูดของลุงบัฟเฟต และเขียนอธิยายอะไรไปบ้างแล้วเมื่อคืนนี้ แต่จะเตือนกันอีกทีว่า …
ลุงบัฟเฟต บอกว่า “ถ้าตื่นขึ้นมาวันหนึ่งแล้วพบว่าหุ้นตกไป 50% แล้วสติแตก ทนไม่ไหว นั่นแปลว่าคุณไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้น” แม้จะลงทุนผ่านกองทุนรวมก็ตาม เพราะความผันผวนแรงๆ แบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ”
ในระยะยาวนั้น กิจการที่ดีจริงจะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ซึ่งเราก็เคยผ่านเหตุการณ์มหาวินาศกันมาหลายครั้งแล้ว แต่กิจการดีๆ เขาก็ผ่านมันมาได้
ที่หวังว่าตลาดหุ้นจะเดินหน้ามีแต่ขึ้นๆๆ และเขียวๆๆๆ ได้ทุกวัน Forever นั้น มันยิ่งกว่าฝันกลางวัน ดังนั้น ผู้ลงทุนไม่ว่าจะลงเองหรือผ่านกองทุนจะต้องเข้าใจเสียก่อน และจดจำไว้ให้มั่น ไม่ใช่มาถามว่า ….
“หนูจะทำไงดี หุ้นที่ซื้อ กองทุนที่ซื้อ มันตกลงจนขาดทุนแล้ว อีกสัก 6 เดือนข้างหน้ามันจะได้ทุนคืนไหม เพราะหนูต้องใช้เงินในช่วงนั้น !! “
6 เดือน 1 ปี 2 ปี มันสั้นไป ลุงบัฟเฟตบอกว่า….
“ถ้าถือหุ้นนานเป็นสิบปีไม่ได้ แค่สิบนาทีก็อย่าเข้าไปถือเลย เพราะนั่นแปลว่าคุณไม่พร้อมที่จะรับความผันผวนของตลาดหุ้น ….. ถึงเราจะเก่งหรือพยายามมากเพียงใด แต่ผลลัพธ์บางอย่างก็ต้องใช้เวลารอคอย แม้คุณจะทำให้ผู้หญิง 9 คนตั้งครรภ์พร้อมกันได้ แต่พวกหล่อนก็ไม่สามารถคลอดลูกให้คุณได้ภายใน 1 เดือน … ผู้คนมักลงทุนโดยดูจากการเคลื่อนไหวของราคา แทนที่จะไปดูมูลค่าของหุ้น นี่ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เพราะแสดงว่าเขาไม่เข้าใจการลงทุนเลย เขาลงทุนเพียงเพราะมันทำเงินให้คนอื่นในสัปดาห์ก่อน เรื่องโง่เง่าที่สุดในโลกของการลงทุนคือ ซื้อเพราะราคามันกำลังขึ้น และความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการลงทุนคือ การที่เราไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”
วันนี้พี่ขอเพิ่มเติมของกูรูต่างประเทศคนอื่นๆ ด้วยอีกครั้ง ดังนี้
—————————————————————–
“ถ้านึกภาพไม่ออกว่า พอร์ตที่ขาดทุน 20% เป็นอย่างไร ก็อย่าไปลงทุนในหุ้น” …. Julian Robertson
“ตลาดหุ้นคือที่ที่เต็มไปด้วยคนที่รู้ราคาของทุกสิ่ง แต่กลับไม่รู้คุณค่าของอะไรซักอย่าง … ย้อนดูในอดีตเมื่อใดก็จะพบว่าการเลือกลงทุนในบริษัทที่ดีเยี่ยมและถือเอาไว้ยาวนานผ่านวัฐจักรและความผันผวนรุนแรงในระยะต่างๆ ผู้ลงทุนมักได้ผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยมกว่ากลยุทธ์ซื้อถูกขายแพง” … … Phil Fisher
“การทำไดอารี่การลงทุนของตนเองเป็นทิศทางที่ถูกต้อง การบันทึกเหตุผลในการตัดสินใจซื้อขายทุกครั้ง การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีแม้จะกำลังอยู่ท่ามกลางไฟท่วมตลาด เป็นสิ่งที่มีคุณค่า เพราะเมื่อเรานำมาอ่านทวน เราจะพบว่า ณ ขณะนั้นเรารู้สึกอย่างไร เราใช้อารมณ์หรือเหตุผลในการตัดสินใจลงทุนซื้อขาย และยังทำให้เราเรียนรู้ว่าเรากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่” … Barton Biggs
.
วันนี้ยืดยาวเลย ก็ได้แต่หวังว่าจะพอช่วยได้บ้าง อย่าเอาแต่กด Like กด Share โดยไม่อ่านให้เข้าใจ และไม่จำ เพราะมันทำให้เบื่อที่จะเขียนนะ จะบอกให้
.
ไม่ได้อารมณ์เสียเพราะกระดานหุ้นแดงเถือก แต่พี่อารมณ์ร้อนมากเวลาสอนแล้วไม่จำ น้องของพี่ตอนเด็กๆ เคยโดนพี่ถีบตกเตียงไปโขกข้างฝา เคยโดนจับหัวจุ่มโถส้วม เพราะสอนหนังสือให้ แต่เขาไม่เคยจำค่ะ
ขอบคุณพี่ตู่ ที่มีข้อเขียนดีๆให้อ่านเสมอมาครับ