ทุนความรู้

มาติดตามต่อ การทำให้เงินงอกเงย เรื่องการบริหารความมั่งคั่งกันต่อครับ ขอขอบคุณ ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน (Thailand Securities Institute: TSI) (ท่านสามารถชมตอนที่ 1 ได้ที่ การบริหารความมั่งคั่ง)

เงินงอกเงยขอแนะนำความรู้เกี่ยวกับการลงทุนดีๆ จากศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน (Thailand Securities Institute: TSI) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดทำข้อมูลต่างๆเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้เริ่มต้น หรือผู้ที่สนใจในการออมไว้ในหุ้น หรือกองทุนรวม หลายครั้งที่หนังสือเกี่ยวกับการเล่นหุ้น การลงทุนในกองทุนรวม หรือเกี่ยวกับการเงินต่างๆมักจะมุ่งเน้นให้ผู้ลงทุนหาความรู้ และระมัดระวังความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ ที่สำคัญ ผู้ลงทุนต้องมีวินัย มีความอดทน และสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ เพราะในแต่ละช่วงอายุของคนเรามีการรับความเสี่ยงได้แตกต่างกัน วันนี้ เงินงอกเงย ขอนำเสนอวิดีโอการบริหารความมั่งคั่งโดย TSI ตอนที่ 1 ครับ ขอขอบคุณ ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน (Thailand Securities Institute: TSI)

ได้อ่านบทความนี้ใน msn แล้ว รู้สึกว่าเป็นแรงบันดาลใจที่ดี เลยขอนำมาฝากทุกๆท่านครับ ทุบ!! กระปุกออมสิน โกยเงิน 2 หมื่นบาท ซื้อหุ้น PTT ราคา 38 บาท คำเชิญพ่อครั้งนั้น ปลุกฝันครั้งใหญ่ “พอร์ตหุ้น 6 พันล้านบาท”สาวน้อยวัย 20 ปี อายุแค่ 20 ปี!! เพิ่งเรียนปี 1 คณะ BSc Economics & Finance ที่ Hong Kong University of Science and Technology ด้วยทุนการศึกษาของ HKSAR Government Scholarship แต่ “นานิ-นิจจรีย์ นิธินวกร” เจ้าของหนังสือ “สร้างเงินล้านก่อนเรียนจบ” ของ …

จากอดีตคนที่เคยมีหนี้สินเป็นร้อยล้านบาท เขาฝ่าฟันอุปสรรคมาได้ถึงทุกวันนี้ นอกจากมุมมองและทักษะในการทำธุรกิจที่เป็นตัวของตัวเองแล้ว เขายังมีเรื่องราวการจัดการเงินทองที่น่าสนใจมาแบ่งปันว่า “ผมชอบลงทุน ไม่ชอบฝากเงินเพราะไม่คุ้มค่า เนื่องจากเงินเฟ้อมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ผมเชื่อในเรื่องนี้สนิทใจ” “ผมไม่ใช่นักวิชาการ เรื่องการลงทุน ทุกอย่างมาจากประสบการณ์ สิ่งที่แน่นอนคือสิ่งไม่แน่นอน ตอนเด็กๆ ผมเคยฟังคนรุ่นคุณพ่อคุณแม่เล่าว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คนที่มีเงินไม่มีความหมาย คนที่มีทองคำเท่านั้นที่ใช้ได้จริง เราทำธุรกิจมานานเราก็รู้ถึงความไม่แน่นอนตรงนี้ เห็นว่าบางทีธุรกิจที่เคยทำเงินก็ไม่ทำเงิน รายรับไม่แน่นอน แต่รายจ่ายมีแน่นอน ดังนั้นเราต้องมีเงินสำรองไว้อย่างน้อย 2 เท่าของรายจ่าย เผื่อไว้ใช้ตอนที่เราไม่มีรายรับ” สำหรับรูปแบบการลงทุน นอกเหนือจากการทำธุรกิจแล้ว เขาเลือกที่จะแบ่งเงินส่วนใหญ่ไปลงทุนในที่ดิน ขณะที่คู่ชีวิตของเขา (คุณอิง-สุนิสา สุขพันธุ์-ถาวร) นิยมลงทุนในหุ้นในตลาดหลักทรัพย์“เราต้องลงทุนในสิ่งที่ตัวเองถนัด ถ้าคิดว่าไม่ใช่อย่าลงทุน อย่างผมถนัดเรื่องที่ดิน แต่คุณอิง ภรรยาผมเก่งในเรื่องหุ้น ตั้งแต่ลงทุนมาเขาไม่เคยขาดทุน เพราะถือคติง่ายๆ ว่า ถ้าขาดทุนก็ไม่ขาย (หัวเราะ) หุ้นขึ้นให้ขาย หุ้นลงให้ซื้อ เป็นหลักการที่ทุกคนรู้ แต่ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ภรรยาผมทำได้ เพราะเขาไม่สนใจข่าวลือ ไม่ตามกระแส” นอกจากนั้น ภรรยาคุณตันยังเน้นลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีการจ่ายปันผล เนื่องจากชื่นชอบในเงินปันผลของหุ้นที่คำนวณแล้วสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร“หลักอีกข้อหนึ่ง …

“หมวยเป็นคนหนึ่งที่เคยลงทุนในหุ้นแล้วขาดทุนเยอะมาก จนกลัวและไม่กล้าลงทุนอีกเลย หยุดไปตั้งแต่ 5-6 ปีก่อนแล้วค่ะ เพิ่งตัดสินใจกลับมาอีกครั้งเมื่อปี 54 นี้เอง” เธอเริ่มต้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ก่อนหน้านั้น เคยลงทุนร่วมหุ้นกับเพื่อนทำร้านอาหาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะไม่มีเวลาดูแลเองอย่างจริงจัง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยคิดจะทำธุรกิจอีกเลย เพราะคิดว่าไม่เหมาะกับสไตล์ของตัวเอง พอมีคนมาชวนลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ก็คิดว่าน่าสนใจ เลยเริ่มต้นจากตรงนั้น” หมวย-อริสรา เล่าประสบการณ์ที่ผ่านมาพร้อมวิเคราะห์ว่า “หมวยคงเริ่มต้นอย่างไม่พร้อม เพราะไม่มีความรู้ ไม่ได้ศึกษาข้อมูล ช่วงนั้นตื่นเช้ามา ก่อนเข้าเรียนปริญญาเอก ก็ต้องดูราคาหุ้น ไปๆ มาๆ กลายเป็นเช็คหุ้นทุกวัน แต่ขาดทุนตลอด ก็เริ่มไม่สบายใจ เพราะเราไปเน้นเก็งกำไรระยะสั้นซึ่งต้องเข้าซื้อขายให้ถูกจังหวะ พอตัดสินใจช้าราคาก็เปลี่ยน ตัดสินใจผิดก็ขาดทุน หุ้นหวือหวาแบบที่ติดอันดับซื้อขายสูงสุด 10 อันดับแรก หมวยเคยลงทุนมาหมดแล้วค่ะ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็เจ็บมาก จนตัดสินใจเลิก ไม่ลงทุนหุ้นอีกแล้ว เก็บเงินฝากไว้ในธนาคารอย่างเดียว” แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ถือว่าบทเรียนจากการลงทุนที่ผิดพลาดครั้งนั้นเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ทำให้เธอเข้าใจการลงทุนมากขึ้น จนกระทั่งต้นปี 2554 เธอกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยความพร้อมที่มากขึ้น โดยมีน้องชายของเธอเป็นกุนซือช่วยหาข้อมูลการลงทุน พร้อมเป็นที่ปรึกษาดูแลพอร์ทลงทุนให้อย่างใกล้ชิด“ที่หมวยกลับมาครั้งนี้เพราะมั่นใจและไว้ใจในตัวน้องชาย …

วันนี้ได้มีโอกาสอ่านบทความที่น่าสนใจของ msn.com เป็นว่ามีประโยชน์มาก เลยขอนำมาให้ทุกท่านได้อ่านครับ หมอเชิดพงศ์ หังสสุต ลงทุนเพื่อชีวิต (กรุงเทพธุรกิจ) วางเป้าหมายระยะยาว เช่น เงินออมสำหรับเกษียณ ต้องวางแผนว่า หลังเกษียณ 20 ปี เราต้องมีเงินออมเท่าไหร่และจะนำเงินไปลงทุนอย่างไร “นายแพทย์เชิดพงศ์ หังสสุต” หนึ่งในนายแพทย์ผู้เปี่ยมด้วยจิตอาสาและประสบการณ์เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเท้า ซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำงานหนักทุกวันและพาเราเดินไปสู่จุดหมายที่นั่นที่นี่ หลังจากจบคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ เขาทิ้งเมืองกรุงมุ่งหน้าทำงานเป็นแพทย์ในต่างจังหวัดหลายปี ศึกษาต่อด้านสุขภาพเท้าและกายอุปกรณ์ ที่เมืองบอสตันและซีแอตเติล ในสหรัฐอเมริกา และสั่งสมประสบการณ์จากโรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่งในกรุงเทพฯ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพและได้มาช่วยพัฒนาเปิด คลินิกสุขภาพเท้าเบาหวาน ที่โรงพยาบาลสิรินธร ย่านลาดกระบัง“ใน ชีวิตการทำงานรักษาพยาบาลคนไข้ เราได้เห็นความจริงของชีวิตที่หลีกหนีไม่พ้นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนมีเวลาอยู่บนโลกใบนี้ 26,000 กว่าวัน ใช้ไปเท่าไหร่แล้ว ก่อนจะลาจากโลกนี้ไป เราน่าจะได้สร้างประโยชน์แก่สังคม ช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่เราจะทำได้ เป็นการเติมเต็มคำตอบของการมีชีวิตให้มีคุณค่า หลักในการทำงานของผม ทำอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างไม่ได้มาโดยง่าย ดังนั้นอุปสรรคปัญหาเป็นความท้าทายให้เราใช้สติและปัญญาคิดวิเคราะห์ และแก้ไขพัฒนา“นายแพทย์เชิดพงศ์พูดถึงแผนบริหารการเงินส่วนตัว ว่าเขาเติบโตมาในครอบครัวอบอุ่น …

ไปอ่านเจอบทความเรื่อง “จิตวิทยาการลงทุน The Psychology of Investing” ซึ่งเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับพี่น้องพี่ต้องการให้เงินของตนงอกเงย จึงขอนำมาฝากกันครับ 1. Disposition Effect – ผู้คนจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียใจ และหาการกระทำที่ทำให้เกิดความภูมิใจ (Regret and Pride) เมื่อคุณมีหุ้น 2 ตัว ตัวหนึ่งขาดทุนอยู่ และอีกตัวกำไรอยู่ คุณจะขายตัวไหนและถือตัวไหนต่อไป คำตอบ นักลงทุนส่วนใหญ่จะขายตัวที่ได้กำไรทิ้งเพื่อความภูมิใจ และ ถือตัวขาดทุนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียใจ 2. Overconfidence – ความมั่นใจเกินไป ทำให้นักลงทุน Trade เกินขนาดของ port และประเมินความเสี่ยงที่ต่ำเกินไป ทำให้มองข้ามว่าเราเองไม่ได้เป็นคนกำหนดทิศทางตลาด 3. House – Money Effect – เงินของเจ้ามือ นักลงทุนจะเล่นหุ้นเสี่ยงมากขึ้นหลังจากได้กำไรมาก่อนหน้านี้ เพราะเหมือนกับเอาเงินของคนอื่นมาเล่น จิตวิทยาข้อนี้ คนเอาเงินเจ้ามือมาต่อยอดเรื่อยๆ และเล่นด้วยความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดภาวะฟองสบู่แตกได้ในที่สุด …

ได้มีโอกาสเดินตามแผงหนังสือ รวมไปถึงได้อ่านข้อเขียนที่ปรากฏบน MSN ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทุนแล้ว น่าสนใจยิ่งนัก เพราะเป็นสิ่งที่นักลงทุนหน้าใหม่ (หรือบางคนเรียกกันเล่นๆว่า เม่ามือใหม่) ควรจะทำการศึกษาไว้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันในการเลือกที่จะลงทุน ซึ่งงานเขียนนี้ ต้นฉบับเป็นของคุณพิชญา ซุ่นทรัพย์ บลจ.บัวหลวง (ที่มา: www.fpanet.org) เชื่อว่าช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา มีนักลงทุนหน้าใหม่ๆเริ่มเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก เห็นได้จากหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ตั้งแต่ก่อนเริ่มลงทุนจนถึงระดับเซียน บนแผงหนังสือล้วนแล้วแต่ติดอันดับหนังสือขายดีทั้งสิ้น  อย่างไรก็ตามไม่นานมานี้ตลาดกลับผันผวนอย่างหนักและปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนทั้งหน้าใหม่เก่าขาดทุน และเกิดอาการเครียด ไปจนถึงขั้นกลัวการลงทุน หากคุณเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ถูกพาดพิง ผลขาดทุนดังกล่าวคงจะโทษว่าเป็นความผิดของตลาดอย่างเดียวคงจะไม่ถูกต้องนัก แต่ความผิดพลาดเกิดจากตัวคุณเองด้วยที่มีการลงทุนอย่างไม่เหมาะสม ดังนั้นเมื่อคุณก้าวเข้ามาลงทุน ความผิดพลาดจากการลงทุนสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายมาก  และในบางครั้งก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเหล่านี้ได้  ผู้เขียนจึงขอเล่าถึงบทความนี้ที่ได้นำมาจากหนังสือ Asset Allocation for Dummies โดย Jerry Miccolis, CFA, CFP®, FCAS, MAA ที่ได้สรุปให้เห็น 10 ข้อผิดพลาดและวิธีการที่จะสามารถเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นกับการลงทุนของคุณ Ignoring asset allocation in the …

“เมย์” บัณฑิตา เลือกออมกับกองทุนรวม ผมได้มีโอกาสอ่านบทความหนึ่งใน http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000056148 ซึ่งเป็นเรื่องของดาราสาว เมย์ บัณฑิตา กับวิธีทำให้เงินงอกเงยของเธอ ประเด็นน่าสนใจตรงนี้ เธอเลือกใช้กองทุนรวมเป็นเครื่องมือในการทำให้เงินเพิ่มมูลค่ามากกว่าเงินฝากธนาคารทั่วไป เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา มาติดตามอ่านข้อเขียนโดยคุณ sabuysuk@gmail.com กันดีกว่านะครับว่ากล่าวถึงกรรมวิธีทำให้เงินงอกเงยของเมย์ บุณฑิตาอย่างไีร “ส่วนใหญ่แล้วที่บ้านจะสอนให้แบ่งเก็บออม 20% จากรายได้ที่เข้ามา ซึ่งจะออมอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันนี้รูปแบบของการออมเงินจะเป็นแบบลงทุนในกองทุน ประกันชีวิต ซื้อที่ดินและคอนโดมิเนียม ส่วนออมทรัพย์จะเป็นการใช้จ่ายในแต่ละวัน” หลายครั้งที่เราต้องเจอกับปัญหาต่างๆ มากมายที่ทำให้ต้องสูญเสียเงินทอง หรือของมีค่าโดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ถ้าเรามีเงินทองเพียงพออยู่ในมือแล้วก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าเราไม่มีอะไรเลยมันก็คือการสร้างหนี้ให้กับตัวเองได้ ดังนั้นเราควรรู้จักใช้จ่ายรู้จักเก็บ โดยอาจจะเริ่มเก็บออมในแต่ละวันแต่ละเดือนเพื่อเป็นการสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเองเหมือนกับการทำประกันชีวิตเพื่อวันข้างหน้า เพราะเราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับการดำรงชีวิต สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือเตรียมตัวของเราให้พร้อม ให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นให้ได้โดยที่เราต้องพึ่งพาตัวเราเองให้ได้เป็นอันดับแรก คอลัมน์ “เจาะพอร์ตคนดัง” ฉบับนี้ทีมงานได้เข้าไปสัมภาษณ์วิธีการออมเงิน เซ็กซี่สาว เมย์-บัณฑิตา ฐานวิเศษ ดาราสาวจากวิกเจ็ดสี ที่จะมาเผยวิธีการจัดสรรเงินในกระเป๋าให้มีใช้จ่ายในอนาคตได้อย่างไม่ต้องลำบาก เมย์เริ่มบอกว่า ส่วนใหญ่แล้วที่บ้านจะสอนให้แบ่งเก็บออม 20% จากรายได้ที่เข้ามา ซึ่งจะออมอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันนี้รูปแบบของการออมเงินจะเป็นแบบลงทุนในกองทุน ประกันชีวิต ซื้อที่ดิน และคอนโดมิเนียม …