หวยหรือหุ้น คุณเลือกอะไร
จากประโยคที่เราเคยได้ยินว่า คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น หลายคนอาจมองว่า หวยเป็นสิ่งที่หาซื้อง่าย (ทั้งที่ถูกกฎหมาย และไม่ถูกกฎหมาย) มากกว่าหุ้น แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันคือความเสี่ยงมากกว่า เพราะหวยถ้าถูกก็จะได้เงินคืนมาเยอะ แต่ถ้าผิดเงินทีได้มาก็กลายเป็นศูนย์เลยทันที ส่วนหุ้น เวลามันลงแล้วเรารู้จักตัดขาดทุน (cut loss) เงินมันก็จะหายไปไม่หมดคราวเดียวเหมือนเล่นหวย
เงินงอกเงยไปเจอบทความหนึ่ง ซึ่งทาง MSN ได้นำบทความของ www.bangkokbiznews.com มาเผยแพร่ โดยมีการคำนวณและเปรียบเทียบให้เราได้เห็นกัน มาลองดูกันดีกว่าครับ ว่าหวยหรือหุ้นจะทำกำไรในระยะยาวมากกว่ากัน
การนำเงินไปซื้อหวย หรือ ลงทุนในหุ้น ระยะเวลาที่เท่ากัน ผลตอบแทนจากหุ้นย่อมดีกว่าซื้อหวยแน่นอน ไม่เชื่อลองดูสิ
เมื่อมองโอกาสในการถูกรางวัลจากการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลแต่ละงวดแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ามีโอกาสน้อยมาก โดยโอกาสที่จะถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว มีอยู่ 1 ใน 100 หรือคิดเป็น 1% ซึ่งผู้ชอบเสี่ยงโชคส่วนใหญ่จะมองว่ามีโอกาสแค่ 1% ก็ยังดี แต่หากมองในมุมกลับกัน โอกาสที่จะไม่ถูกเลขท้าย 2 ตัวมีสูงถึง 99% ในขณะที่โอกาสที่จะถูกรางวัลที่ 1 ซึ่งเป็นรางวัลที่ทุกคนใฝ่ฝัน มีอยู่เพียง 0.0001% และสมมุติว่าหากสลากฯ เลขที่ถูกรางวัลที่ 1 ทั้ง 70 ชุด (35 คู่) ถูกกระจายออกไปแก่ผู้ซื้อ 35 คน คนละ 1 คู่ ก็จะมีคนถูกรางวัลที่ 1 ทั้งหมด 35 คน ในแต่ละงวด หรือคิดเป็น 0.00005% ของประชากรไทยทั้งหมดราว 65 ล้านคน
ทีนี้ลองมาเปรียบเทียบดูว่า หากนำเงินที่ซื้อสลากฯ มาลงทุนในหุ้นดูบ้าง โดยสมมุติว่าซื้อสลากฯ ทุกงวด ทั้งงวดวันที่ 1 และ 16 งวดละ 1,000 บาท และสมมุติว่าซื้อ 10 คู่ 10 หมายเลขที่แตกต่างกัน ที่ราคาคู่ละ 100 บาท ตั้งแต่งวดวันที่ 16 มกราคม 2547 – 31 ธันวาคม 2556 (ประมาณ 10 ปี) รวมทั้งหมด 240 งวด คิดเป็นเงินที่ซื้อสลากฯ ทั้งหมด 240,000 บาท
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ สมมุติว่านำเงินไปลงทุนในหุ้นเป็นเงิน 2,000 บาททุกเดือน (จำนวนเท่ากับเงินที่ใช้ซื้อสลากฯ ทุกเดือน) โดยลงทุนในวันทำการสุดท้ายของเดือน รวมเงินลงทุน 240,000 บาทเท่ากัน ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในหุ้นเมื่อคิดจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกันจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 396,219 บาท และเมื่อรวมเงินปันผลแล้วจะได้ผลตอบแทนรวมเมื่อคิดจากดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหลักทรัพย์ไทยเท่ากับประมาณ 502,472 บาท
ซึ่งผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในหุ้นเมื่อเทียบการนำไปเสี่ยงโชคแล้ว เท่ากับผู้ลงทุนในหุ้นถูกรางวัลที่ 2 เป็นจำนวน 2.51 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 3 เป็นจำนวน 6.28 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 4 เป็นจำนวน 12.56 ครั้ง (ถูกปีละมากกว่า 1 ครั้ง) หรือถูกรางวัลที่ 5 เป็นจำนวน 25.12 ครั้ง (ถูกปีละมากกว่า 2 ครั้ง) หรือถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว 125.62 ครั้ง (ถูกงวดเว้นงวด) หรือถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 251.24 ครั้ง (ถูกครั้งละมากกว่า 1 คู่ จากการเสี่ยงโชค 240 งวด)
แต่ถ้าหากนักเสี่ยงโชคซื้อเลขเดียวกันทั้ง 10 คู่ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ตัวเลขที่นักเสี่ยงโชคซื้อจะต้องถูกเลขท้าย 2 ตัวเป็นจำนวน 25.38 งวด จึงจะได้ผลตอบแทนเทียบเท่ากับที่ลงทุนในหุ้น (ซึ่งสถิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาไม่มีเลขใดที่ออกเลขท้าย 2 ตัวถึง 25 ครั้ง)
บางท่านอาจจะเถียงว่า เป็นเพราะช่วง 10 ปีที่ผ่านมาหุ้นขึ้นเยอะ ก็มีส่วนถูกครับ ผมจึงขอนำเสนอระยะเวลาที่ยาวขึ้นเป็น 20 ปี (งวดวันที่ 16 มกราคม 2537 – 31 ธันวาคม 2556) ซึ่งตรงกับช่วงที่ตลาดหุ้นเคยขึ้นไปถึง 1,700 จุด ก่อนที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ โดยใช้สมุมติฐานเดียวกัน ซึ่งเท่ากับว่ามีการออกสลากฯ ทั้งหมด 480 งวด เป็นเงินที่ใช้ทั้งหมด 480,000 บาท จากการคำนวณโดยใช้ข้อมูลดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยและเงินปันผลพบว่า หากลงทุนเป็นเงิน 2,000 บาทในทุกวันทำการสุดท้ายของเดือนอย่างต่อเนื่อง ผู้ลงทุนในตลาดหุ้นจะมีเงินรวมประมาณ 1,609,000 บาท
ซึ่งเทียบเท่ากับถูกรางวัลที่ 2 จำนวน 8 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 3 จำนวน 20 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 4 จำนวน 40 ครั้ง หรือถูกรางวัลที่ 5 จำนวน 80 ครั้ง หรือถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว จำนวน 402 ครั้ง หรือถูกรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 805 ครั้ง
จากตัวอย่างที่ยกมานี้ จะเห็นได้ว่า ในระยะยาวหากต้องการให้การเสี่ยงโชคได้ผลตอบแทนดีกว่าลงทุนในหุ้น ท่านจะต้องถูกรางวัลที่ 1 หรือถูกรางวัลอื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากใน 20 ปีที่ผ่านมา นักเสี่ยงโชคเปลี่ยนจากซื้อสลากฯ เดือนละ 2,000 บาท เป็นลงทุนในหุ้นเดือนละ 5,000 บาท เมื่อรวมผลตอบแทนและเงินปันผลจะมีเงินประมาณ 4 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับการถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 คู่ เสมือนกับท่านสร้างรางวัลที่ 1 ขึ้นมาด้วยตัวท่านเองครับ
อ่านมาถึงตรงนี้ ลองมาเปรียบเทียบกันนะครับ ว่าเราจะลงทุนในหวย หรือลงทุนในหุ้น เพื่อให้เงินงอกเงยขึ้นมาในระยะยาวครับ เงินงอกเงยขอขอบคุณที่มาของบทความด้วยนะครับ